ความท้าทายของเทคโนโลยี AI บนดาวเทียม

Last updated: 17 ก.ย. 2568  |  28 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ดาวเทียมกับ AI

ในยุคที่ AI เข้ามาทำงานร่วมกับอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
แล้วดาวเทียมมีการนำ AI มาใช้ประโยชน์หรือยัง และทำอะไรได้บ้าง?

 

     ปกติดาวเทียมที่ลอยอยู่เหนือโลก จะทำงานตามคำสั่งที่ตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้า เหมือนเครื่องจักรที่ทำงานซ้ำๆ แต่เมื่อเติม AI เข้าไป จะสามารถช่วยให้ดาวเทียมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในหลายทาง เช่น


ประโยชน์จาก AI 

ประหยัดเวลา : ไม่ต้องรอคำสั่งจากโลก ดาวเทียมทำงาน / ตัดสินใจได้เองควรต้องทำอะไร
                      เช่น สำรวจพื้นที่ใด (Dynamic Targeting)
แม่นยำกว่า : AI วิเคราะห์ข้อมูลได้รวดเร็วและแม่นยำสูง และข้อมูลมีปริมาณมาก
ตอบสนองเร็ว : เตือนภัยได้ทันทีที่เกิดเหตุ
ประหยัดต้นทุน : ลดความต้องการควบคุมจากภาคพื้นดิน

             แต่การจะนำ AI เข้าไปติดตั้งเพิ่มเติมในดาวเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ ทั้งทางด้านเทคนิค ความปลอดภัย ที่ไม่เหมือนการใช้งานบนโลก 

ข้อจำกัดทางเทคนิค

  • พื้นที่จำกัด เพราะดาวเทียมมีขนาดเล็ก ต้องใช้ AI ขนาดจิ๋วแต่ทรงพลัง
  • พลังงานจำกัด ต้องพึ่งพาแผงโซลาร์เซลล์ ไม่สามารถใช้พลังงานฟุ่มเฟือยได้
  • สภาพแวดล้อมรุนแรง เพราะในอวกาศมีทั้งรังสี อุณหภูมิสุดขั้ว และสุญญากาศ

ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย

  • ป้องกันการถูกแฮก หรือสั่งงานผิด
  • รักษาข้อมูลสำคัญ ไม่ให้รั่วไหลสู่ประเทศคู่แข่ง
  • ควบคุมการตัดสินใจ ของ AI ให้อยู่ในกรอบที่ปลอดภัย

   แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่นักพัฒนาทั่วโลก ตลอดจนในไทยเอง ก็ยังสามารถพัฒนาดาวเทียมอัจฉริยะ ที่สามารถ "คิด" และตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงมีการใช้ AI และ Big Data เข้ามาประมวลผลจากข้อมูลดาวเทียม เพื่อการพยากรณ์ในด้านต่างๆ การใช้งาน AI บนดาวเทียมในปัจจุบันมีอะไรบ้าง ไปดูตัวอย่างกัน


การใช้งาน AI บนดาวเทียมในปัจจุบัน


 1. ระบบเตือนภัยพิบัติธรรมชาติ

สามารถเตือนการเกิดไฟป่า หรืออุทกภัยได้ เช่น ดาวเทียม Φsat-2 ของ ESA ที่เปิดตัวในปี 2024 สามารถตรวจจับไฟป่าและสร้างแผนที่จากภาพถ่ายได้ด้วย AI ในตัว เมื่อเห็นจุดร้อนผิดปกติ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนลงมายังโลกทันที 

 2. การทำนายสภาพอากาศ
NASA ใช้ AI ร่วมกับบริษัทเอกชนเพื่อพยากรณ์เหตุการณ์พายุสุริยะ ช่วยป้องกันดาวเทียมจากพายุสุริยะที่อาจทำความเสียหายได้

 3. การสำรวจทรัพยการและสำรวจทางทะเล
AI บนดาวเทียมสามารถจำแนกวัตถุหรือสิ่งของที่กำหนดได้ เช่น จำแนกเรือและตรวจจับความผิดปกติในระบบนิเวศทางทะเลได้ ช่วยติดตามการประมงผิดกฎหมายและมลพิษในมหาสมุทร หรือใช้สำรวจพื้นที่ป่า เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในภาคป่าไม้ เช่นในบริการ CarbonWatch ของ  Earth Insight เป็นต้น

 4. การเกษตรอัจฉริยะ
วิเคราะห์สีของพืชผลจากอวกาศ บอกได้ว่าพืชขาดน้ำ ป่วย หรือพร้อมเก็บเกี่ยว เกษตรกรได้ข้อมูลแม่นยำแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีบริการในไทยด้วย เช่น บริการ CropWatch ระบบคาดการณ์ ติดตาม รายงาน และแจ้งเตือน ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในพื้นที่เพาะปลูก เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม ของ Earth Insight เป็นต้น


อนาคตของดาวเทียม AI


ในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า เราอาจเห็น:


ระบบเตือนภัยโลก : ดาวเทียมหลายดวงร่วมมือกัน วิเคราะห์ภาวะโลกแบบเรียลไทม์
ดาวเทียมซ่อมตัวเอง : ใช้ AI ตรวจสอบระบบและซ่อมแซมปัญหาเบื้องต้นได้
อินเทอร์เน็ตอัจฉริยะ : ปรับความเร็วและทิศทางสัญญาณตามความต้องการผู้ใช้

สำหรับประเทศไทย การพัฒนาเทคโนโลยีภาพดาวเทียมที่ผสาน AI จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการจัดการทรัพยากร การเกษตร และการป้องกันภัยพิบัติให้ทันสมัยและแม่นยำมากขึ้น



 

บทสรุป


การผสมผสานเทคโนโลยีดาวเทียมกับ AI ไม่ได้เป็นแค่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่เห็นผลได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเกษตรกรดูแลพืชผล การเตือนภัยพิบัติล่วงหน้า หรือการวางแพนการพัฒนาเมือง

ประเทศไทยก็มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ ด้วยระบบดาวเทียมที่ทันสมัยและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนไทยโดยตรง

ใครจะคิดว่าดาวเทียมจิ๋วที่ลอยอยู่เหนือฟ้าจะกลายเป็น "ตาและสมอง" ที่คอยดูแลโลกของเราแบบนี้!
 

 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้